ลูกอม เป็นขนมหวานประเภทหนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างมากในบรรดาเด็ก ๆ และวัยรุ่น
ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมีการจำหน่ายในท้องตลาดกันอย่างกว้างขวาง ลองมาศึกษาเกร็ดน่ารู้
ต่าง ๆ เกี่ยวกับลูกอมกันดังต่อไปนี้
ความหมายของลูกอม
ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 228) พ.ศ.2544 เรื่อง หมากฝรั่งและลูกอม
ได้ให้ความหมายของลูกอมไว้ว่า หมายถึง "ผลิตภัณฑ์สำหรับใช้อมหรือเคี้ยว ที่มีการแต่งรสใด ๆ
มีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบหลัก และอาจมีส่วนประกอบอื่น ๆ เพื่อปรุงแต่งกลิ่นรสด้วยหรือไม่ก็ได้"
ประเภทของลูกอม
ลูกอมแบ่งตามลักษณะทางกายภาพได้ 3 ประเภท คือ
ลูกอมเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบหลัก ๆ ได้แก่ สารให้ความหวาน, สารแต่งรสหรือ
กลิ่น, สารแต่งสี และอื่น ๆ
ได้แก่ ในเรื่องของสารแต่งสีในลูกอม ซึ่งสีที่ใช้ผสมในลูกอมตามกฎหมายแล้วผู้ผลิต
จะต้องใช้สีที่ได้จากธรรมชาติหรือสีผสมอาหาร ซึ่งการใช้สีผสมอาหารนั้นก็ต้องใช้
ตามปริมาณที่กฎหมายกำหนดไว้ด้วย อย่างไรก็ตามยังพบว่ามีผู้ผลิตบางรายรู้เท่า
ไม่ถึงการณ์ แทนที่จะใช้สีผสมอาหารผสมในลูกอม อาจจะใช้สีที่มิใช่สีผสมอาหาร
เช่น สีย้อมผ้า สีย้อมกระดาษ สีย้อมเส้นใยต่าง ๆ ผสมในลูกอม ซึ่งสีเหล่านี้เป็นสีที่
กฎหมายไม่อนุญาตให้ใช้ผสมในอาหาร เนื่องจากมีความบริสุทธิ์ต่ำและมีโลหะหนัก
เจือปนอยู่ในปริมาณสูง หากสะสมในร่างกายมาก ๆ ในปริมาณหนึ่งก็จะเกิดอันตราย
ได้ นอกจากนี้ผู้ผลิตบางรายก็อาจจะใช้สีผสมอาหาร แต่ใช้เกินปริมาณที่กฎหมาย
กำหนดไว้ กรณีเช่นนี้ก็อาจเป็นอันตรายต่อผู้บริโภคได้เช่นกัน
สีที่กฎหมายอนุญาตให้ใช้ผสมในขนมเด็กมี 2 ชนิด
สำหรับสีที่ไม่อนุญาตให้ใช้ผสมอาหาร เช่น สีย้อมผ้า ฯลฯ จะมีโลหะหนักปะปนอยู่ซึ่ง
เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ดังนี้
อาหาร ซึ่งเป็นสีที่กฎหมายอนุญาตให้ใช้ใส่ในอาหารได้ แต่ก็มีข้อกำหนดในเรื่องของ
ปริมาณสีที่ให้ใช้ตามความเหมาะสม หากใช้เกินปริมาณที่กฎหมายกำหนด ก็อาจเกิด
อันตรายต่อผู้บริโภคได้ นอกจากนี้หากผู้ผลิตไม่ใช้สีผสมอาหารแต่ใช้สีอื่น ๆ ที่มิใช่
สีผสมอาหารก็ยิ่งอันตรายมากขึ้น ดังนั้น การที่จะบริโภคลูกอมต่าง ๆ ก็ควรที่จะ
เลือกชนิดที่มีสีอ่อน ๆ หรือถ้าเป็นไปได้ควรเลือกที่ไม่มีสีเลยจะดีกว่า
การเลือกซื้อลูกอม
ในการเลือกซื้อลูกอม ควรดูที่ฉลากเป็นสำคัญ ว่ามีเครื่องหมาย อย. หรือไม่
ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 96 (พ.ศ.2528) เรื่อง การแสดงฉลาก
ของหมากฝรั่งและลูกอม นั้น ฉลากของลูกอมที่จำหน่ายโดยตรงต่อผู้บริโภคต้องมี
ข้อความเป็นภาษาไทย แต่จะมีภาษาต่างประเทศด้วยก็ได้ และจะต้องมีข้อความแสดง
รายละเอียดดังต่อไปนี้
กับอาหาร สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาอาจอนุญาตให้แสดงเฉพาะข้อความ
ตาม 1, 2, 3, 5 และ 10 ก็ได้
นอกจากการดูฉลากเป็นสำคัญแล้ว การเลือกซื้อลูกอมผู้บริโภคควรสังเกตภาชนะ
บรรจุ ไม่ว่าจะเป็นกล่อง ห่อ ซอง จะต้องสะอาด ไม่เก่าหรือฉีกขาด ถ้าเป็นพลาสติก
ส่วนที่สัมผัสกับลูกอมจะต้องไม่มีสี เมื่อเลือกซื้อลูกอมมาได้แล้ว ขณะที่รับประทานก็
ควรสังเกตด้วย ซึ่งลูกอมที่ดีต้องไม่มีกลิ่น รส ผิดปกติ การเก็บลูกอมก็สำคัญเช่นกัน
ควรเก็บไว้ในที่เย็น ไม่อับชื้น ตลอดจนป้องกันแมลงและสัตว์อื่นๆ ที่จะมาแทะลูกอมได้
ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมีการจำหน่ายในท้องตลาดกันอย่างกว้างขวาง ลองมาศึกษาเกร็ดน่ารู้
ต่าง ๆ เกี่ยวกับลูกอมกันดังต่อไปนี้
ความหมายของลูกอม
ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 228) พ.ศ.2544 เรื่อง หมากฝรั่งและลูกอม
ได้ให้ความหมายของลูกอมไว้ว่า หมายถึง "ผลิตภัณฑ์สำหรับใช้อมหรือเคี้ยว ที่มีการแต่งรสใด ๆ
มีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบหลัก และอาจมีส่วนประกอบอื่น ๆ เพื่อปรุงแต่งกลิ่นรสด้วยหรือไม่ก็ได้"
ประเภทของลูกอม
ลูกอมแบ่งตามลักษณะทางกายภาพได้ 3 ประเภท คือ
- ลูกกวาด (Hard candy) เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีลักษณะแข็ง เมื่อเคี้ยวจะแตก อาจมีการ
สอดไส้ด้วยก็ได้ ซึ่งผลิตโดยการละลายน้ำตาล กลูโคสไซรัป น้ำ นำมาเคี่ยวจนได้ที่
นวดผสมกัน แล้วรีดอัดเป็นเม็ด - ขนมเคี้ยว (Chewy candy) ได้แก่ คาราเมล (Caramels) ท๊อฟฟี่ ลักษณะจะนิ่มจน
ถึงค่อนข้างแข็ง ผลิตโดยการนำน้ำตาลกลูโคสไซรัป น้ำ ไขมัน หรือส่วนประกอบอื่น
ปั่นให้เข้ากันจนมีลักษณะเป็นอิมัลชั่นก่อน จึงนำมาเคี่ยวจนได้ที่ นวดผสม และรีด
อัดเม็ด - ซอฟต์แคนดี้ (Soft candy) ได้แก่ ครีม (Creams), ฟัดส์ (Fudges), มาร์ชแมลโล
(Marshmallow) ผลิตภัณฑ์จะมีลักษณะนิ่มอ่อนตัวมากกว่าขนมเคี้ยว เนื่องจากมี
ปริมาณความชื้นมากกว่า
ลูกอมเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบหลัก ๆ ได้แก่ สารให้ความหวาน, สารแต่งรสหรือ
กลิ่น, สารแต่งสี และอื่น ๆ
- สารให้ความหวาน ได้แก่ น้ำตาลทราย กลูโคสไซรัป รวมทั้ง น้ำตาล แอลกอฮอล์ เช่น
ซอร์บิทอล แมนนิทอล โดยจะมีผลต่อความหวาน รวมทั้งความใสของลูกอมด้วย - สารแต่งรสหรือกลิ่น ได้แก่ วัตถุแต่งกลิ่นรส ทั้งที่เป็นธรรมชาติ เช่น น้ำมันยูคาลิปตัส
น้ำมันจากเปลือกส้ม หรือจากการใช้สารเคมีผสมให้เกิดกลิ่นที่ต้องการ เช่น ครีมโซดา
กลิ่นองุ่น หรือส่วนประกอบที่แต่งกลิ่นรสได้ เช่น กาแฟผง หรือนมผง ในลูกอมรส
กาแฟ หรือท๊อฟฟี่นม เป็นต้น - สารแต่งสี ลูกอมโดยปกติจะเกิดสีน้ำตาล อันเนื่องจากความร้อน ที่ใช้ในการผลิตในช่วง
เคี่ยวน้ำตาล แต่บางครั้งผู้ผลิตจำเป็นต้องใส่สีต่าง ๆ เพื่อดึงดูดใจของผู้ซื้อ เช่น แต่ง
สีแดง สำหรับลูกอมกลิ่น สตรอเบอร์รี่ เป็นต้น - ส่วนประกอบอื่นๆ ได้แก่ กรดอินทรีย์ กรดที่นิยมใช้ในการผลิตลูกอม ได้แก่ กรดซิตริก
กรดตาร์ตาริก และกรดมาลิก โดยใช้เพื่อควบคุมความหวาน แต่งรสและยืดอายุการเก็บ
ผลิตภัณฑ์
ได้แก่ ในเรื่องของสารแต่งสีในลูกอม ซึ่งสีที่ใช้ผสมในลูกอมตามกฎหมายแล้วผู้ผลิต
จะต้องใช้สีที่ได้จากธรรมชาติหรือสีผสมอาหาร ซึ่งการใช้สีผสมอาหารนั้นก็ต้องใช้
ตามปริมาณที่กฎหมายกำหนดไว้ด้วย อย่างไรก็ตามยังพบว่ามีผู้ผลิตบางรายรู้เท่า
ไม่ถึงการณ์ แทนที่จะใช้สีผสมอาหารผสมในลูกอม อาจจะใช้สีที่มิใช่สีผสมอาหาร
เช่น สีย้อมผ้า สีย้อมกระดาษ สีย้อมเส้นใยต่าง ๆ ผสมในลูกอม ซึ่งสีเหล่านี้เป็นสีที่
กฎหมายไม่อนุญาตให้ใช้ผสมในอาหาร เนื่องจากมีความบริสุทธิ์ต่ำและมีโลหะหนัก
เจือปนอยู่ในปริมาณสูง หากสะสมในร่างกายมาก ๆ ในปริมาณหนึ่งก็จะเกิดอันตราย
ได้ นอกจากนี้ผู้ผลิตบางรายก็อาจจะใช้สีผสมอาหาร แต่ใช้เกินปริมาณที่กฎหมาย
กำหนดไว้ กรณีเช่นนี้ก็อาจเป็นอันตรายต่อผู้บริโภคได้เช่นกัน
สีที่กฎหมายอนุญาตให้ใช้ผสมในขนมเด็กมี 2 ชนิด
- สีจากธรรมชาติ เป็นสีที่ได้จากพืช จึงเป็นสีที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับใช้ผสม
ในขนมเด็ก เพื่อให้มีกลิ่นหอมน่ารับประทาน เช่น สีเขียวจากใบเตยตัวอย่างสีจากธรรมชาติ * สีเขียว ได้จาก ใบเตย ใบย่านาง
* สีเหลือง ได้จาก ขมิ้นอ้อย ขมิ้นชัน ฟักทอง ดอกกรรณิการ์
* สีแดง ได้จาก ครั่ง ดอกกระเจี๊ยบ มะเขือเทศสุก พริกแดง
* สีน้ำเงิน ได้จาก ดอกอัญชัน
* สีดำ ได้จาก ดอกดิน กาบมะพร้าวเผา
* สีน้ำตาล ได้จาก น้ำตาลเคี่ยวไหม้ เนื้อในเมล็ดโกโก้
* สีม่วง ได้จาก ดอกอัญชัน ถั่วดำ - สีผสมอาหาร ได้จากการสังเคราะห์สารเคมี เนื่องจากการใช้สีธรรมชาติอาจ
ไม่สะดวก จึงได้มีการผลิตสีสังเคราะห์สำหรับผสมอาหารแทนการใช้สีจาก
ธรรมชาติแม้กฎหมายกำหนดอนุญาตให้ใช้สีสังเคราะห์สำหรับผสมอาหารได้ แต่หากใช้ในปริมาณมากและบ่อยครั้ง ก็อาจก่อให้เกิดอันตรายแก่ ร่างกายได้
สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาจึงได้มีการกำหนดปริมาณสีที่อนุญาต
ให้ใช้ผสมในอาหารประเภท เครื่องดื่ม ไอศกรีม ลูกกวาด และขนมหวาน ดังนี้
(2.1) สีที่ใช้ได้ปริมาณไม่เกิน 70 มิลลิกรัมต่ออาหารในลักษณะที่ใช้
บริโภค 1 กิโลกรัม
* สีแดง ได้แก่ - เอโซรูบีน , เออริโทรซิน
* สีเหลือง ได้แก่ - ตาร์ตราซีน , ซันเซ็ตเย็ลโลว์ เอ็ฟ ซี เอ็ฟ
* สีเขียว ได้แก่ - ฟาสต์ กรีน เอ็ฟ ซี เอ็ฟ
* สีน้ำเงิน ได้แก่ - อินดิโกคาร์มีน หรือ อินดิโกติน
(2.2) สีที่ใช้ได้ปริมาณไม่เกิน 50 มิลลิกรัมต่ออาหารในลักษณะที่ใช้ บริโภค 1 กิโลกรัม
* สีแดง ได้แก่ - ปองโซ 4 อาร์
* สีน้ำเงิน ได้แก่ - บริลเลียนห์บลู เอ็ฟ ซี เอ็ฟ
สำหรับสีที่ไม่อนุญาตให้ใช้ผสมอาหาร เช่น สีย้อมผ้า ฯลฯ จะมีโลหะหนักปะปนอยู่ซึ่ง
เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ดังนี้
- อันตรายจากพิษของตัวสีเอง สีต่าง ๆ ที่ไม่ได้เป็นสีผสมอาหาร ส่วนใหญ่มักจะเป็นสี
ที่ก่อให้เกิดมะเร็ง หรือเนื้องอกที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย โดยเฉพาะที่ระบบทาง
เดินอาหารและกระเพาะปัสสาวะ - อันตรายที่เกิดจากสารไม่บริสุทธิ์ในสีนั้นๆ สิ่งที่สำคัญ คือ โลหะหนัก เพราะสีส่วนใหญ่
จะมีโลหะหนักเป็นส่วนประกอบ เช่น โครเมี่ยม ตะกั่ว สารหนู ปนอยู่เสมอ การได้รับ
โลหะหนักเข้าไปในร่างกายมาก ๆ หรือเป็นประจำ อาจเป็นอันตรายร้ายแรงได้ เช่น ถ้า
ได้รับสารตะกั่วนาน ๆ จะทำให้เกิดโลหิตจาง และเป็นโรคพิษตะกั่ว
อาหาร ซึ่งเป็นสีที่กฎหมายอนุญาตให้ใช้ใส่ในอาหารได้ แต่ก็มีข้อกำหนดในเรื่องของ
ปริมาณสีที่ให้ใช้ตามความเหมาะสม หากใช้เกินปริมาณที่กฎหมายกำหนด ก็อาจเกิด
อันตรายต่อผู้บริโภคได้ นอกจากนี้หากผู้ผลิตไม่ใช้สีผสมอาหารแต่ใช้สีอื่น ๆ ที่มิใช่
สีผสมอาหารก็ยิ่งอันตรายมากขึ้น ดังนั้น การที่จะบริโภคลูกอมต่าง ๆ ก็ควรที่จะ
เลือกชนิดที่มีสีอ่อน ๆ หรือถ้าเป็นไปได้ควรเลือกที่ไม่มีสีเลยจะดีกว่า
การเลือกซื้อลูกอม
ในการเลือกซื้อลูกอม ควรดูที่ฉลากเป็นสำคัญ ว่ามีเครื่องหมาย อย. หรือไม่
ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 96 (พ.ศ.2528) เรื่อง การแสดงฉลาก
ของหมากฝรั่งและลูกอม นั้น ฉลากของลูกอมที่จำหน่ายโดยตรงต่อผู้บริโภคต้องมี
ข้อความเป็นภาษาไทย แต่จะมีภาษาต่างประเทศด้วยก็ได้ และจะต้องมีข้อความแสดง
รายละเอียดดังต่อไปนี้
- ชื่ออาหาร
- เลขทะเบียนตำรับอาหาร (ถ้ามี)
- ชื่อและที่ตั้งของสถานที่ผลิต หรือของผู้แบ่งบรรจุเพื่อจำหน่าย แล้วแต่กรณี
หมากฝรั่งและลูกอมที่ผลิตในประเทศ อาจแสดงสำนักงานใหญ่ของผู้ผลิตหรือ
ของผู้แบ่งบรรจุก็ได้ สำหรับหมากฝรั่งและลูกอมที่นำเข้าให้แสดงประเทศผู้ผลิตด้วย - น้ำหนักสุทธิเป็นระบบเมตริก
- ปริมาณของน้ำตาล/หรือวัตถุให้ความหวานแทนน้ำตาล เป็นร้อยละของน้ำหนัก
- เดือนและปีที่ผลิต โดยมีคำว่า "ผลิต" กำกับไว้ด้วย
- คำแนะนำในการเก็บรักษา (ถ้ามี)
- ข้อความว่า "เจือสีธรรมชาติ" หรือ "เจือสีสังเคราะห์" ถ้ามีการใช้ แล้วแต่กรณี
- ข้อความว่า"แต่งกลิ่นธรรมชาติ", "แต่งกลิ่นเลียนธรรมชาติ", "แต่งกลิ่นสังเคราะห์"
"แต่งรสธรรมชาติ" หรือ "แต่งรสเลียนธรรมชาติ" ถ้ามีการใช้ แล้วแต่กรณี - ข้อความว่า "ใช้วัตถุกันเสีย" ถ้ามีการใช้
- ข้อความที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยากำหนด
กับอาหาร สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาอาจอนุญาตให้แสดงเฉพาะข้อความ
ตาม 1, 2, 3, 5 และ 10 ก็ได้
นอกจากการดูฉลากเป็นสำคัญแล้ว การเลือกซื้อลูกอมผู้บริโภคควรสังเกตภาชนะ
บรรจุ ไม่ว่าจะเป็นกล่อง ห่อ ซอง จะต้องสะอาด ไม่เก่าหรือฉีกขาด ถ้าเป็นพลาสติก
ส่วนที่สัมผัสกับลูกอมจะต้องไม่มีสี เมื่อเลือกซื้อลูกอมมาได้แล้ว ขณะที่รับประทานก็
ควรสังเกตด้วย ซึ่งลูกอมที่ดีต้องไม่มีกลิ่น รส ผิดปกติ การเก็บลูกอมก็สำคัญเช่นกัน
ควรเก็บไว้ในที่เย็น ไม่อับชื้น ตลอดจนป้องกันแมลงและสัตว์อื่นๆ ที่จะมาแทะลูกอมได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น