วันอังคารที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

Korat

Korats are a slate blue-grey shorthair domestic cat with a small to medium build and a low percentage of body fat. Their bodies are semi-cobby, and surprisingly heavy for their size. They are intelligent, playful,active cats and form strong bonds with people. Among Korats' distinguishing characteristics are their heart-shaped heads and large green eyes. They are one of a few breeds where individuals have only one color.

The Korat is one of the oldest stable cat breeds. Originating in Thailand, it is named after theNakhon Ratchasima province (typically called "Korat" by the Thai people). In Thailand it is known as Si-Sawat, meaning "Color of the Sawat Seed".They are known colloquially as the "Good Luck Cat" and are given in pairs to newlyweds or to people who are highly esteemed, forgood luck. Until recently, Korats were not sold, but only given as gifts.

The modern Korats now exist due to the diligent efforts of a few breeders inside and outside of Thailand.

The first mention of the Korat is in "The Cat-Book Poems" authored between 1350 and 1767 AD in Thailand, now in the National library in Bangkok.However, the illustration of the Korat in this book is not detailed enough to be definitive as to the breed portrayed. In recent years the Korat was on postage stamp in Thailand. An example hangs in the city of Korat's post office.

Korats first appeared in Britain under the name "Blue Siamese" in 1889 and 1896, but as these solid blue cats did not conform to the cat show judges' perception of a Siamese cat they disappeared by 1901. One early import, "Dwina" owned by Russian Blue breeder Mrs Constance Carew-Cox and mentioned in Frances Simpson's "The Book of the Cat" (1903) produced a a large number of "Siamese" kittens, while the other, Mrs Spearman's Blue Siamese male, "Nam Noi", was declared to be a Russian Blue by cat show judges (WR Hawkins, "Around the Pens" July 1896). Mrs Spearman tried unsuccessfully to import more of these "Blue Siamese".

Korats first appeared in America in the 1950s and arrived in Britain from there in 1972. Jean Johnson introduced Korats to the US in 1959. She had lived in Thailand, where she encountered the breed. Her first pair were named Nara (male) and Dara (female).The Korat was introduced to the UK by Betty Munford of The High Street, Hungerford.

Although it is rare, Korats occasionally have striking or faint white markings or spots or even very faint gray stripes. Sometimes these spots increase in size with age. These are seen as flaws, and the cats are not allowed to be displayed in cat shows, although of course it has no effect on their personality or health.

The Governing Council of the Cat Fancy recognizes Korat type cats differing from the traditional solid blue appearance of the Korat. Such cats can be either Thai Lilacs, which are solid lilac cats, or Thai Pointed, which have the colour-point pattern also seen in Siamese. The official registration policy for Korats allows kittens to be registered as Thai if they are born to Korat parents, Thai parents or to one of each. It also requires genetic testing for gangliosidosis to be carried out to ensure that the breed remains free of this inherited disease which once existed in Korat and Thai breeding lines.

The genes responsible for Pointeds and Lilacs were introduced into the Korat breed when new Korat breeding stock carrying the recessive genes was imported from Thailand. The first recorded Thai Lilac kitten was born to the Jenanca line in 1989, when 'Jenanca Lilac Lillee' was born from two Korat parents in the UK. In 1990 Lillee's parents were re-mated with more lilac kittens resulting. More importantly, a young male lilac was born to another pair also in the UK. This serendipitous event allowed more crossings to occur without inbreeding too closely.


วันเสาร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ลูกอมใส่สีมีอันตราย


ลูกอม เป็นขนมหวานประเภทหนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างมากในบรรดาเด็ก ๆ และวัยรุ่น
ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมีการจำหน่ายในท้องตลาดกันอย่างกว้างขวาง ลองมาศึกษาเกร็ดน่ารู้
ต่าง ๆ เกี่ยวกับลูกอมกันดังต่อไปนี้
ความหมายของลูกอม
ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 228) พ.ศ.2544 เรื่อง หมากฝรั่งและลูกอม
ได้ให้ความหมายของลูกอมไว้ว่า หมายถึง "ผลิตภัณฑ์สำหรับใช้อมหรือเคี้ยว ที่มีการแต่งรสใด ๆ
มีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบหลัก และอาจมีส่วนประกอบอื่น ๆ เพื่อปรุงแต่งกลิ่นรสด้วยหรือไม่ก็ได้"
ประเภทของลูกอม
ลูกอมแบ่งตามลักษณะทางกายภาพได้ 3 ประเภท คือ
  1. ลูกกวาด (Hard candy) เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีลักษณะแข็ง เมื่อเคี้ยวจะแตก อาจมีการ
    สอดไส้ด้วยก็ได้ ซึ่งผลิตโดยการละลายน้ำตาล กลูโคสไซรัป น้ำ นำมาเคี่ยวจนได้ที่
    นวดผสมกัน แล้วรีดอัดเป็นเม็ด
  2. ขนมเคี้ยว (Chewy candy) ได้แก่ คาราเมล (Caramels) ท๊อฟฟี่ ลักษณะจะนิ่มจน
    ถึงค่อนข้างแข็ง ผลิตโดยการนำน้ำตาลกลูโคสไซรัป น้ำ ไขมัน หรือส่วนประกอบอื่น
    ปั่นให้เข้ากันจนมีลักษณะเป็นอิมัลชั่นก่อน จึงนำมาเคี่ยวจนได้ที่ นวดผสม และรีด
    อัดเม็ด
  3. ซอฟต์แคนดี้ (Soft candy) ได้แก่ ครีม (Creams), ฟัดส์ (Fudges), มาร์ชแมลโล
    (Marshmallow) ผลิตภัณฑ์จะมีลักษณะนิ่มอ่อนตัวมากกว่าขนมเคี้ยว เนื่องจากมี
    ปริมาณความชื้นมากกว่า
ส่วนประกอบที่สำคัญของลูกอม
ลูกอมเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบหลัก ๆ ได้แก่ สารให้ความหวาน, สารแต่งรสหรือ
กลิ่น, สารแต่งสี และอื่น ๆ
  • สารให้ความหวาน ได้แก่ น้ำตาลทราย กลูโคสไซรัป รวมทั้ง น้ำตาล แอลกอฮอล์ เช่น
    ซอร์บิทอล แมนนิทอล โดยจะมีผลต่อความหวาน รวมทั้งความใสของลูกอมด้วย
  • สารแต่งรสหรือกลิ่น ได้แก่ วัตถุแต่งกลิ่นรส ทั้งที่เป็นธรรมชาติ เช่น น้ำมันยูคาลิปตัส
    น้ำมันจากเปลือกส้ม หรือจากการใช้สารเคมีผสมให้เกิดกลิ่นที่ต้องการ เช่น ครีมโซดา
    กลิ่นองุ่น หรือส่วนประกอบที่แต่งกลิ่นรสได้ เช่น กาแฟผง หรือนมผง ในลูกอมรส
    กาแฟ หรือท๊อฟฟี่นม เป็นต้น
  • สารแต่งสี ลูกอมโดยปกติจะเกิดสีน้ำตาล อันเนื่องจากความร้อน ที่ใช้ในการผลิตในช่วง
    เคี่ยวน้ำตาล แต่บางครั้งผู้ผลิตจำเป็นต้องใส่สีต่าง ๆ เพื่อดึงดูดใจของผู้ซื้อ เช่น แต่ง
    สีแดง สำหรับลูกอมกลิ่น สตรอเบอร์รี่ เป็นต้น
  • ส่วนประกอบอื่นๆ ได้แก่ กรดอินทรีย์ กรดที่นิยมใช้ในการผลิตลูกอม ได้แก่ กรดซิตริก
    กรดตาร์ตาริก และกรดมาลิก โดยใช้เพื่อควบคุมความหวาน แต่งรสและยืดอายุการเก็บ
    ผลิตภัณฑ์
จากส่วนประกอบของลูกอมดังกล่าวข้างต้น มีเรื่องที่น่าสนใจสำหรับผู้บริโภค
ได้แก่ ในเรื่องของสารแต่งสีในลูกอม ซึ่งสีที่ใช้ผสมในลูกอมตามกฎหมายแล้วผู้ผลิต
จะต้องใช้สีที่ได้จากธรรมชาติหรือสีผสมอาหาร ซึ่งการใช้สีผสมอาหารนั้นก็ต้องใช้
ตามปริมาณที่กฎหมายกำหนดไว้ด้วย อย่างไรก็ตามยังพบว่ามีผู้ผลิตบางรายรู้เท่า
ไม่ถึงการณ์ แทนที่จะใช้สีผสมอาหารผสมในลูกอม อาจจะใช้สีที่มิใช่สีผสมอาหาร
เช่น สีย้อมผ้า สีย้อมกระดาษ สีย้อมเส้นใยต่าง ๆ ผสมในลูกอม ซึ่งสีเหล่านี้เป็นสีที่
กฎหมายไม่อนุญาตให้ใช้ผสมในอาหาร เนื่องจากมีความบริสุทธิ์ต่ำและมีโลหะหนัก
เจือปนอยู่ในปริมาณสูง หากสะสมในร่างกายมาก ๆ ในปริมาณหนึ่งก็จะเกิดอันตราย
ได้ นอกจากนี้ผู้ผลิตบางรายก็อาจจะใช้สีผสมอาหาร แต่ใช้เกินปริมาณที่กฎหมาย
กำหนดไว้ กรณีเช่นนี้ก็อาจเป็นอันตรายต่อผู้บริโภคได้เช่นกัน
สีที่กฎหมายอนุญาตให้ใช้ผสมในขนมเด็กมี 2 ชนิด
  1. สีจากธรรมชาติ เป็นสีที่ได้จากพืช จึงเป็นสีที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับใช้ผสม
    ในขนมเด็ก เพื่อให้มีกลิ่นหอมน่ารับประทาน เช่น สีเขียวจากใบเตย
    ตัวอย่างสีจากธรรมชาติ
    * สีเขียว ได้จาก ใบเตย ใบย่านาง
    * สีเหลือง ได้จาก ขมิ้นอ้อย ขมิ้นชัน ฟักทอง ดอกกรรณิการ์
    * สีแดง ได้จาก ครั่ง ดอกกระเจี๊ยบ มะเขือเทศสุก พริกแดง
    * สีน้ำเงิน ได้จาก ดอกอัญชัน
    * สีดำ ได้จาก ดอกดิน กาบมะพร้าวเผา
    * สีน้ำตาล ได้จาก น้ำตาลเคี่ยวไหม้ เนื้อในเมล็ดโกโก้
    * สีม่วง ได้จาก ดอกอัญชัน ถั่วดำ
  2. สีผสมอาหาร ได้จากการสังเคราะห์สารเคมี เนื่องจากการใช้สีธรรมชาติอาจ
    ไม่สะดวก จึงได้มีการผลิตสีสังเคราะห์สำหรับผสมอาหารแทนการใช้สีจาก
    ธรรมชาติแม้กฎหมายกำหนดอนุญาตให้ใช้สีสังเคราะห์สำหรับผสมอาหารได้ แต่หากใช้ในปริมาณมากและบ่อยครั้ง ก็อาจก่อให้เกิดอันตรายแก่ ร่างกายได้
    สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาจึงได้มีการกำหนดปริมาณสีที่อนุญาต
    ให้ใช้ผสมในอาหารประเภท เครื่องดื่ม ไอศกรีม ลูกกวาด และขนมหวาน ดังนี้
    (2.1) สีที่ใช้ได้ปริมาณไม่เกิน 70 มิลลิกรัมต่ออาหารในลักษณะที่ใช้
    บริโภค 1 กิโลกรัม

    * สีแดง ได้แก่ - เอโซรูบีน , เออริโทรซิน
    * สีเหลือง ได้แก่ - ตาร์ตราซีน , ซันเซ็ตเย็ลโลว์ เอ็ฟ ซี เอ็ฟ
    * สีเขียว ได้แก่ - ฟาสต์ กรีน เอ็ฟ ซี เอ็ฟ
    * สีน้ำเงิน ได้แก่ - อินดิโกคาร์มีน หรือ อินดิโกติน
    (2.2) สีที่ใช้ได้ปริมาณไม่เกิน 50 มิลลิกรัมต่ออาหารในลักษณะที่ใช้ บริโภค 1 กิโลกรัม
    * สีแดง ได้แก่ - ปองโซ 4 อาร์
    * สีน้ำเงิน ได้แก่ - บริลเลียนห์บลู เอ็ฟ ซี เอ็ฟ
อันตรายจากสีที่ไม่อนุญาตให้ใช้ผสมอาหาร
สำหรับสีที่ไม่อนุญาตให้ใช้ผสมอาหาร เช่น สีย้อมผ้า ฯลฯ จะมีโลหะหนักปะปนอยู่ซึ่ง
เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ดังนี้
  1. อันตรายจากพิษของตัวสีเอง สีต่าง ๆ ที่ไม่ได้เป็นสีผสมอาหาร ส่วนใหญ่มักจะเป็นสี
    ที่ก่อให้เกิดมะเร็ง หรือเนื้องอกที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย โดยเฉพาะที่ระบบทาง
    เดินอาหารและกระเพาะปัสสาวะ
  2. อันตรายที่เกิดจากสารไม่บริสุทธิ์ในสีนั้นๆ สิ่งที่สำคัญ คือ โลหะหนัก เพราะสีส่วนใหญ่
    จะมีโลหะหนักเป็นส่วนประกอบ เช่น โครเมี่ยม ตะกั่ว สารหนู ปนอยู่เสมอ การได้รับ
    โลหะหนักเข้าไปในร่างกายมาก ๆ หรือเป็นประจำ อาจเป็นอันตรายร้ายแรงได้ เช่น ถ้า
    ได้รับสารตะกั่วนาน ๆ จะทำให้เกิดโลหิตจาง และเป็นโรคพิษตะกั่ว
เมื่อผู้บริโภคทราบแล้วว่า ลูกอมที่มีสีสันสวยงามชวนให้บริโภคนั้น แม้จะใช้สีผสม
อาหาร ซึ่งเป็นสีที่กฎหมายอนุญาตให้ใช้ใส่ในอาหารได้ แต่ก็มีข้อกำหนดในเรื่องของ
ปริมาณสีที่ให้ใช้ตามความเหมาะสม หากใช้เกินปริมาณที่กฎหมายกำหนด ก็อาจเกิด
อันตรายต่อผู้บริโภคได้ นอกจากนี้หากผู้ผลิตไม่ใช้สีผสมอาหารแต่ใช้สีอื่น ๆ ที่มิใช่
สีผสมอาหารก็ยิ่งอันตรายมากขึ้น ดังนั้น การที่จะบริโภคลูกอมต่าง ๆ ก็ควรที่จะ
เลือกชนิดที่มีสีอ่อน ๆ หรือถ้าเป็นไปได้ควรเลือกที่ไม่มีสีเลยจะดีกว่า
การเลือกซื้อลูกอม
ในการเลือกซื้อลูกอม ควรดูที่ฉลากเป็นสำคัญ ว่ามีเครื่องหมาย อย. หรือไม่
ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 96 (พ.ศ.2528) เรื่อง การแสดงฉลาก
ของหมากฝรั่งและลูกอม นั้น ฉลากของลูกอมที่จำหน่ายโดยตรงต่อผู้บริโภคต้องมี
ข้อความเป็นภาษาไทย แต่จะมีภาษาต่างประเทศด้วยก็ได้ และจะต้องมีข้อความแสดง
รายละเอียดดังต่อไปนี้
  1. ชื่ออาหาร
  2. เลขทะเบียนตำรับอาหาร (ถ้ามี)
  3. ชื่อและที่ตั้งของสถานที่ผลิต หรือของผู้แบ่งบรรจุเพื่อจำหน่าย แล้วแต่กรณี
    หมากฝรั่งและลูกอมที่ผลิตในประเทศ อาจแสดงสำนักงานใหญ่ของผู้ผลิตหรือ
    ของผู้แบ่งบรรจุก็ได้ สำหรับหมากฝรั่งและลูกอมที่นำเข้าให้แสดงประเทศผู้ผลิตด้วย
  4. น้ำหนักสุทธิเป็นระบบเมตริก
  5. ปริมาณของน้ำตาล/หรือวัตถุให้ความหวานแทนน้ำตาล เป็นร้อยละของน้ำหนัก
  6. เดือนและปีที่ผลิต โดยมีคำว่า "ผลิต" กำกับไว้ด้วย
  7. คำแนะนำในการเก็บรักษา (ถ้ามี)
  8. ข้อความว่า "เจือสีธรรมชาติ" หรือ "เจือสีสังเคราะห์" ถ้ามีการใช้ แล้วแต่กรณี
  9. ข้อความว่า"แต่งกลิ่นธรรมชาติ", "แต่งกลิ่นเลียนธรรมชาติ", "แต่งกลิ่นสังเคราะห์"
    "แต่งรสธรรมชาติ" หรือ "แต่งรสเลียนธรรมชาติ" ถ้ามีการใช้ แล้วแต่กรณี
  10. ข้อความว่า "ใช้วัตถุกันเสีย" ถ้ามีการใช้
  11. ข้อความที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยากำหนด
สำหรับฉลากที่ปิด หรือติด หรือแสดงไว้ที่ภาชนะบรรจุที่ใส่หรือห่อ หรือสัมผัสโดยตรง
กับอาหาร สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาอาจอนุญาตให้แสดงเฉพาะข้อความ
ตาม 1, 2, 3, 5 และ 10 ก็ได้
นอกจากการดูฉลากเป็นสำคัญแล้ว การเลือกซื้อลูกอมผู้บริโภคควรสังเกตภาชนะ
บรรจุ ไม่ว่าจะเป็นกล่อง ห่อ ซอง จะต้องสะอาด ไม่เก่าหรือฉีกขาด ถ้าเป็นพลาสติก
ส่วนที่สัมผัสกับลูกอมจะต้องไม่มีสี เมื่อเลือกซื้อลูกอมมาได้แล้ว ขณะที่รับประทานก็
ควรสังเกตด้วย ซึ่งลูกอมที่ดีต้องไม่มีกลิ่น รส ผิดปกติ การเก็บลูกอมก็สำคัญเช่นกัน
ควรเก็บไว้ในที่เย็น ไม่อับชื้น ตลอดจนป้องกันแมลงและสัตว์อื่นๆ ที่จะมาแทะลูกอมได้